น้อง ๆ หลายคนอาจจะเคยรู้สึกว่าตัวเองห่วย แต่ความจริงเราอาจจะไม่ได้ห่วยนะ แต่นี่คืออาการของ Imposter Syndrome หรือ “โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง” มันเป็นยังไง? แล้วเราจะรับมือมันยังไงได้บ้าง? มาดูกันเลย!
รู้จัก Imposter syndrome พร้อมวิธีรับมือเมื่อรู้สักว่า ตัวเอง “ห่วย”
น้อง ๆ เคยเป็นไหม เวลาที่ทำอะไรสำเร็จ หรือมีคนชม เรากลับคิดว่าตัวเองไม่ได้เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับมา เพราะจริง ๆ แล้วเราไม่ได้เก่ง แต่แค่ “ฟลุ๊ก” เพราะครั้งนี้โชคช่วย ให้กลับมาทำอีกด้วยตัวเองทั้งหมดก็คงทำไม่ได้แล้ว
ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีกรณีที่เราอาจจะไม่เก่งจริง ๆ แต่เชื่อไหมว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราไม่เก่งจริง ๆ นะ แต่เป็นเพราะบนโลกนี้มันมีอาการที่เรียกว่า “โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง” หรือ Imposter Syndrome อยู่
ซึ่งเจ้า Imposter Syndrome นี่แหละ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความสามารถเหมือนคนอื่น ๆ ทำอะไรก็ห่วย บางงานที่ทำสำเร็จก็เพราะโชคดี ไม่ใช่เพราะความสามารถของเราเอง เราก็เลยไม่สมควรได้รับคำชมจากใคร ๆ เลย
และถ้าน้อง ๆ รู้สึกแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราแตกต่างจากคนอื่นนะ เพราะคนจำนวนมากก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ รุ่นพี่เก่ง ๆ ในโรงเรียน เรียกได้ว่า ไม่ว่าใครก็อาจจะเคยมีความรู้สึกแบบนี้สักช่วงในชีวิตกันทั้งนั้น
แต่ Imposter Syndrome ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มาที่ไป เพราะคุณ Valerie Young คนเขียนหนังสือ The Secret Thoughts of Successful Women ได้ลองหาว่าสิ่งที่คนเป็น Imposter syndrome มีเหมือน ๆ กัน แล้วก็สามารถแบ่งประเภทของ imposter syndrome ออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
กลุ่มที่ 1 “The Perfectionists” หรือคนที่รักความสมบูรณ์แบบ
น้อง ๆ หลายคนที่ตั้งมาตรฐานกับตัวเองไว้สูง เช่น “เราจะต้องทำงานนี้ออกมาให้เพอร์เฟ็กต์ 100%” “เราไม่ควรพลาด” “ต้องเรียนให้ได้เกรด 4 เท่านั้น” น้องอาจจะอยู่ในกลุ่มที่เป็น The Perfectionists และมีแนวโน้มที่จะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง เพราะการทำพลาดแค่ 1% ก็มากพอที่จะจะทำให้น้อง ๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ
กลุ่มที่ 2 “The Superwoman/Superman” หรือ กลุ่มยอดมนุษย์
น้อง ๆ ในกลุ่มนี้ จะเป็นคนที่คิดว่าเราต้องทำทุกอย่างได้ดี เป็นลูกที่ดีที่สุด เรียนเก่งที่สุด ทำกิจกรรมได้ดีที่สุด เล่นกีฬาได้ยอดเยี่ยมที่สุด เรียกง่าย ๆ เลยคือต้องดีในทุก ๆ ด้าน เลยมักจะพยายามทำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด และพยายามที่จะทำออกมาให้ได้ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อมีเรื่องไหนผิดพลาด ก็อาจจะโทษตัวเองว่าเรายังพยายามไม่มากพอนั่นเอง
กลุ่มที่ 3 “The Natural Genius” กลุ่มหัวกะทิ (ทั้งจากพรสวรรค์และความพยายาม)
เคยไหม บางเรื่องที่เพิ่งเคยทำครั้งแรก แต่เรากลับทำมาได้ดี แบบที่คนเรียกกันว่า “พรสวรรค์” หรือบางเรื่องที่เราพยายามทำทุกวันจนเก่ง หรือที่เรียกว่า “พรแสวง” ทั้งพรสวรรค์และพรแสวงอาจทำให้เราทำอะไรบางอย่างได้สำเร็จโดยง่าย เช่น น้องบางคนฝึกเล่นดนตรีจนเก่ง แล้วก็เป็นตัวแทนไปแข่งขันดนตรีมาตลอด ชนะมาตลอด แต่พอมาเรียนม.ปลาย ต้องมาโฟกัสการเรียนวิชาการด้วย ก็คาดหวังว่าตัวเองจะต้องทำได้ดี แล้วพอทำได้ไม่ดีก็อาจจะทำให้ท้อแท้และโทษตัวเองได้เหมือนกัน
กลุ่มที่ 4 “The Soloist” หรือนักฉายเดี่ยว
น้อง ๆ ที่ชินกับการทำงานคนเดียวจนชินแล้วทำได้ดี แต่บางครั้งก็อาจจะเจองานที่ต้องขอความช่วยเหลือคนอื่นแบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการต้องขอความช่วยเหลือคนอื่นนี่แหละที่มันอาจทำให้น้องรู้สึกว่ายังพยายามไม่มากพอ หรือไม่เก่งพอ เลยต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และในบางครั้งการทำงานเป็นกลุ่มหรือการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็อาจทำให้น้อง ๆ โดนปฏิเสธได้ด้วย เลยอาจทำให้เราหงุดหงิดและตั้งคำถามกับความสามารถของเราได้
กลุ่มที่ 5 “The Expert” หรือผู้เชี่ยวชาญ
น้องในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเสมอเมื่อจะทำอะไร เช่น ถ้าต้องทำโครงการวิทยาศาสตร์ ก็จะหาข้อมูลให้รอบด้านก่อน จนรู้สึกพร้อมมากที่สุด ได้ข้อมูลครบถ้วนมากที่สุด ถึงจะยอมส่งงาน เพราะฉะนั้นอาจจะทำให้น้อง ๆ กลุ่มนี้มีความกังวลว่าจะมีเรื่องที่เราไม่รู้ กลัวอาจารย์มีคำถามที่เราตอบไม่ได้ และไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ในเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เพราะกลัวว่าจะพลาดนั่นเอง
และด้วยความรู้สึกพวกนี้ อาจทำให้เกิดผลเสียหลาย ๆ อย่างกับน้อง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น การพลาดโอกาสดี ๆ หลายอย่าง เพราะคิดว่าเราอาจจะไม่เก่งจริง เราคงทำไม่ได้ หรือการสร้างนิสัยแย่ ๆ ให้ตัวเอง อย่างการผัดวันประกันพรุ่ง เพราะมัวแต่คิดว่ายังไม่พร้อม จนทำให้งานหลาย ๆ ไม่ได้ทำสักที และที่สำคัญ Imposter Syndrome ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตด้วย ทั้งความเครียด ความวิตกกังวล จนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
แล้วน้อง ๆ จะรับมือกับ Impostor Syndrome ได้ยังไงบ้าง?
1. แยกความจริงออกจากความรู้สึก
บางครั้งที่น้อง ๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ให้น้อง ๆ ลองกลับไปคิดอีกรอบแบบไม่อคติกับตัวเอง ว่าสิ่งที่น้องทำได้มีอะไรบ้าง เช่น น้องสอบภาษาอังกฤษได้ 100 คะแนนเต็ม ลองดูว่าน้อง ๆ ทำอะไรบ้างเพื่อให้ได้คะแนนสอบเท่านี้ น้องอ่านหนังสือบ่อยไหม เรียนเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ท่องศัพท์บ่อยไหม แปลศัพท์ออกหรือเปล่า จำเนื้อหาที่เรียนได้ไหม มันอาจจะช่วยตอบน้องได้ว่า จริง ๆ แล้วเราก็มีส่วนที่พยายามและทำได้ เลยทำให้เราได้คะแนนเต็ม ไม่ใช่แค่ฟลุ๊ก เพราะน้องก็ไม่ได้หลับตาทำแล้วก็ถูกทุกข้อใช่มั้ยล่ะ
2. เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด
อยากให้น้อง ๆ ลองปรับมุมมองที่ว่าบางครั้งเรารู้สึกกลัวในการทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งหรือไม่พร้อม แต่มันเป็นเรื่องปกติเมื่อเราออกจาก Comfort Zone ในช่วงแรก เราอาจจะเครียดได้เป็นปกติเมื่อเจออะไรที่ไม่คุ้นเคย ลองให้เวลาตัวเองได้ปรับตัวและเรียนรู้ และอย่าลืมชื่นชมความกล้าของตัวเองที่ออกไปลองทำอะไรใหม่ ๆ ด้วยนะ
3. ให้กำลังใจตัวเองบ้าง
บางครั้งการที่เราจะพัฒนาได้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องดุด่าหรือโทษตัวเองเสมอไป แต่อาจเป็นการที่เราให้กำลังใจตัวเอง ว่าสิ่งที่เราทำพลาดมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำได้ เราเก่งขนาดนี้แล้ว เรากล้าทำ กล้าเรียนรู้และได้อะไรจากมัน รอบหน้าก็เรียนรู้และแก้ไข เพราะคนเราไม่จำเป็นเพอร์เฟ็กต์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีเรื่องที่เราไม่ถนัด แต่เราจะทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน ดังนั้นอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองกันเยอะ ๆ น้า
4. จดบันทึกความสำเร็จ
ถ้าไม่เชื่อว่าตัวเราก็เก่งเหมือนกัน ให้ลองจดบันทึกความสำเร็จเอาไว้ดูก็ได้ เช่น วันนี้อ่านหนังสือได้ตั้ง 2 ชั่วโมง วันนี้ทำการบ้านเอง วันนี้ทำข้อสอบถูกเยอะขึ้น วันนี้แก้โจทย์เองได้ เพราะบางครั้งที่เราคิดว่าตัวเองไม่เก่ง อาจจะเพราะเราไม่ได้ย้อนมองสิ่งที่เราทำได้เลย เรามองแค่ข้อผิดพลาดของตัวเอง เพราะฉะนั้นลองกลับมามองในสิ่งที่เราทำได้เยอะ ๆ นะ แล้วจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ห่วยอย่างที่ตัวเองคิดเลย
พี่ทีขอเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอ หรือมีการที่อาจจะเข้าข่ายของ Imposter Sundrome ว่าน้องไม่ได้ไม่เก่ง แต่นี่คือช่วงเวลาที่เรากำลังเรียนรู้และพัฒนา และตัวน้องในตอนนี้ก็เก่งมาก ๆ แล้วนะ อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง และออกไปหาของอร่อยกินกันด้วยน้าเด็ก ๆ <3
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง