Follow us on

รวมประสบการณ์จาก “เด็กซิ่ว” ทำไมถึงซิ่ว แล้วซิ่วไปไหน มาดูคำตอบกันเลย

วันที่โพสต์

“ตอนแรกคณะนี้มันใช่ แต่เรียนไปเรียนมากลับไม่ใช่ซะงั้น”

“ถ้ารู้ตัวว่าไม่ใช่ จะฝืนหรือซิ่วดี”

“จะขึ้นปี 4 แล้ว ซิ่วดีไหมนะ”

ทำไมเราต้องกังวลเรื่องซิ่วกันนะ?…ถ้าเราเรียนไปแล้วจากตอนแรกที่มันใช่ แล้วพอเรียนไปเรื่อย ๆ มันกลับไม่ใช่หล่ะ…การเลือกที่จะซิ่วถือว่าผิดไหม?

 วันนี้พี่ได้รวบรวมเรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากเด็กซิ่วในคณะต่าง ๆ เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจที่จะซิ่ว ความรู้สึกต่าง ๆ ของทั้งตัวเอง และครอบครัว จะเป็นยังไงเราลองมาดูกันเลย

.

รุ่นพี่ที่ซิ่วจาก บัญชี-บัญชี ไป วิศวะ-คอมพิวเตอร์

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เหตุผลที่ซิ่ว
จริงๆเราชอบเขียนโค้ดกับชอบอะไรแนวคอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เพราะเราเรียนเก่ง ที่บ้านก็เลยพยายามพูดบังคับให้เราเป็นหมอ จนเราได้แต่เก็บสิ่งที่เราอยากเป็นไว้ สุดท้ายพอตอนสอบเข้าจริงๆ เราไม่ได้อยากเป็นหมอ แล้วเราก็ไม่ได้เก่งขนาดที่จะสอบหมอติด แต่ถึงแบบนั้นที่บ้านก็พูดตลอดว่าไม่อยากให้เราเรียนวิศวะ สุดท้ายเราก็เลยไปเรียนบัญชี แต่พอเรียนจริงๆแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำในอนาคตเลย แล้วเราก็เรียนได้ไม่ค่อยดีด้วย ยิ่งมีเพื่อนที่เรียนวิศวะแล้วได้เห็นสิ่งที่เขาเรียนเรายิ่งอิจฉา เราเริ่มมั่นใจว่าเราอยากเรียนวิศวะมากกว่า สุดท้ายเราก็เลยทนไม่ได้แล้วตัดสินใจซิ่วไป

ความคิดเห็นของที่บ้าน
ตอนแรกที่บ้านไม่สนับสนุนเลย เพราะเสียเวลาไปตั้งเป็นปี พยายามจะพูดกล่อมให้เราอยากเรียนบัญชีต่อ แต่เราก็ยืนยันว่ายังไงเราก็จะซิ่ว สุดท้ายที่บ้านก็เลยยอมให้เราซิ่ว ถึงจะยังดูไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ดีก็ตาม

เรียนคณะใหม่แล้วเป็นยังไงบ้าง
ชีวิตดีขึ้นมากๆๆๆ เราชอบสิ่งที่เรียน เราทำได้ดีมากๆ เราเข้ากับสังคมเพื่อนได้ดีกว่าด้วยเพราะมีความชอบคล้ายๆกัน ที่บ้านก็ไม่ได้ขัดอะไรเราแล้วด้วยเพราะเห็นว่าเราก็ทำได้ดี สาขาที่เราเรียนก็กำลังเป็นที่นิยม เราคิดถูกมากๆที่ซิ่วมา มีความสุขขึ้นเยอะ 

.

รุ่นพี่ที่ซิ่วจากวิทย์-คอม ไป การจัดการครัว (ซิ่วตอนขึ้นปี 4)

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เหตุผลที่ซิ่ว
เริ่มที่เราเป็นคนชอบเล่นเกม เลยอยากมีเกมที่ตัวเองเป็นคนสร้างเลยเข้าสาขานี้มา แต่พอได้เข้าไปเรียนจริงๆ รู้สึกว่าเราชอบเล่นเกมนะ แต่ก็แค่นั้น ไม่ได้อยากที่จะเอาตัวเข้าไปสัมผัสกับมันขนาดนั้น อยากจะแยกระหว่างงานอดิเรกกับงานออกจากกัน แล้วก็คิดว่าตัวเองคงจะทำงานสายนี้ไม่ได้

ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว ตอนนั้นเคยมีโอกาสทำให้เพื่อนกินแล้วเพื่อนก็บอกว่ามันอร่อย เราคิดว่าการทำอาหารเหมือนกับการที่คนเราได้แบ่งความสุขให้กับคนอื่นผ่านสิ่งที่เขากิน ก็เลยจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราคิดที่ซิ่ว

ความคิดเห็นของที่บ้าน
ตอนแรกเขาก็ตกใจว่าอยู่ๆทำไมถึงซิ่ว ด้วยความที่เราไม่เคยบอกอะไรเขาด้วยแหละ เพราะไม่อยากให้ที่บ้านไม่สบายใจ แต่พอได้ลองอธิบายให้ที่บ้านฟังและปรับความเข้าใจกัน ที่บ้านเขาก็โอเค เพราะเขาบอกว่าชีวิตเราเนอะ พ่อแม่ไม่สามารถที่จะมาคอยคิดให้หรือขีดให้เราเป็นแบบไหนได้อยู่แล้ว เราต้องรู้จักและเป็นคนกำหนดเอง เขาบอกถ้าแน่ใจและคิดมาดีแล้ว ก็โอเค

เรียนคณะใหม่แล้วเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้ก็มีความสุขนะ ได้เรียนในสิ่งที่ชอบที่รักจริงๆ ไม่เหนื่อยเหมือนตอนที่เรียนสาขาเก่า มันก็มีเหนื่อยบ้างแหละแต่ด้วยความที่ชอบมั้ง มันเลยดูเหมือนไม่เหนื่อย

.

รุ่นพี่ที่ซิ่วจากศิลปศาสตร์ ไป วารสารศาสตร์

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

เหตุผลที่ซิ่ว
ตอนแรกเราติดศิลปศาสตร์ตั้งแต่รอบพอร์ต ละปีเราเป็นรุ่นแรกที่เป็นTCAS(dek61) เราเลยรีบยืนยันสิทธิ์เพราะกลัวลำบากกับรอบหลังๆ ด้วย

ทีนี้ตอนเราเรียนศิลปศาสตร์ก็ได้ทำงานทั้งกิจกรรมใน ม. แล้วก็งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายงานทางด้านนิเทศ วารสาร เลยคิดว่าซิ่วดีมั้ย แล้วปี 62 พอระบบเปิดให้ยื่นคะแนนก็เลยยื่นคะแนนซิ่วไป ตั้งใจว่าจะซิ่วเข้าคณะสายนิเทศ/วารสาร/ผลิตสื่อ ถ้าไม่ได้สายนี้ก็ไม่เอาเลย

ความคิดเห็นของที่บ้าน
ที่บ้านไม่มีปัญหาอะไร อาจจะเป็นเพราะเค้าเห็นเราทำงานเกี่ยวกับทำสื่ออะไรอย่างนี้อยู่แล้ว พอเราตัดสินใจจะซิ่วก็บอกกับที่บ้าน เค้าก็ไม่มีปัญหา ยิ่งพอเราได้ ม.เดียวกันแล้วเทียบโอนหน่วยกิตได้ เค้าก็ยิ่งโอเค

เรียนคณะใหม่แล้วเป็นยังไงบ้าง
ก็มีความสุขดี555 ในสิ่งที่เรารักก็อาจจะเจออะไรที่ลำบากบ้าง แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบ เราก็สามารถทำได้เต็มที่ ทำได้อย่างมีความสุข คล้ายๆ แบบมีความสุขในการคิดงาน อยากทำให้ดีขึ้น

พอเราซิ่วมา เราก็มี Concept ชุดความคิดที่ได้มาจากคณะเก่าด้วย บางทีก็เอามาปรับใช้เวลาคิดงาน ก็ทำให้เราได้งานที่ Deep มากขึ้น

.

รุ่นพี่ที่ซิ่วจากจิตวิทยา ไป อักษร

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

เหตุผลที่ซิ่ว
คือจริงๆเล็งคณะนี้ไว้ตั้งแต่ ม.5 แล้ว ลองสอบตอน ม.6 แล้วก็ติดตัวสำรอง แบบอีกไม่กี่คนก็ถึงเราแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ถูกเรียกแอบเสียใจนิดหน่อย พอมาเข้าจิตวิทยาก็รู้สึกว่ามันสนุกนะ ได้เรียนอะไรที่ไม่เคยได้เรียนมาก่อน แต่อีกแง่ก็คือเหมือนเรามาเริ่มใหม่จาก 0 ในขณะที่เพื่อนบางคนพอมีพื้นฐานด้านนี้บ้าง มันเลยทำให้เหนื่อยมากๆทุกครั้งที่อ่านหนังสือ

ความคิดเห็นของที่บ้าน
เหมือนที่บ้านเขาก็รู้ตั้งแต่ตอนไม่ติดอักษรครั้งแรกแล้วว่าเราก็เสียใจมาก พอเราพูดว่าเรียนจิตวิทยามันเหนื่อยมันท้อ พยายามยังไงก็ไม่เข้าใจเลย พ่อแม่ก็เข้าใจแล้วก็อนุญาต

เรียนคณะใหม่แล้วเป็นยังไงบ้าง
คณะใหม่ก็เรียนตรงสายที่เรียนมาจาก ม.ปลายดีนะ เพราะเราเรียนสายภาษา(จีน)มา พอมาเรียนในคณะใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น ที่ท้าทายหน่อยคงจะเป็นเรื่องภาษาและการเขียนที่เยอะแล้วก็ต้องเป๊ะมากๆ แต่โดยรวมก็โอเคเลยย

.

เป็นยังไงกันบ้างหลังจากได้ฟังประสบการณ์จากพี่ ๆ ที่ซิ่วจริง พี่เชื่อว่าประสบการณ์ที่พี่ ๆ ได้แชร์มาให้ฟังจะช่วยให้น้อง ๆ ได้ลองสังเกต และเข้าใจตัวเองมากขึ้น การที่คนเรารู้ตัวช้า การที่เราเลือกที่จะเดินหน้าต่อ หรือหยุดแค่เท่านี้ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถไปตัดสินใจว่าใครผิดใครถูก เรื่องบางเรื่องมีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้ ดังนั้นพี่อยากให้น้อง ๆ ลองถามตัวเองเยอะ ๆ แค่รู้สึกว่าถ้าเราเลือกทางนี้แล้วเราจะไม่เสียใจทีหลังพี่ว่าทุกอย่างก็เป็นคำตอบให้น้อง ๆ ได้แล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

GPAX ขั้นต่ำ TCAS67 รอบ 3 ม.สงขลานครินทร์ – TCASter

887 views

GPAX ขั้นต่ำ TCAS67 รอบ 3 มจพ. – TCASter

922 views

รวมคะแนนภาษาอังกฤษที่ใช้ในรอบพอร์ต – TCASter

470 views

เทียบคะแนน A-Level TCAS66 vs TCAS67 – TCASter

683 views

วิธีคำนวณคะแนนรอบ 3 ที่ #DEK68 ห้ามพลาด! – TCASter

771 views

5 ขั้นตอนใช้งาน TCASter App ฟีเจอร์ “ประเมินโอกาสสอบติด” – TCASter

783 views