“อยากจะฝากน้อง ๆ ในเรื่องนี้ คือ ถึงแม้เราจะเรียนวิศวะ แต่การกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะแสดงตัวตน เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญมาก ๆ ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้กับงานสายวิศวะโดยตรง แต่เราสามารถเอาไปใช้กับงานอื่น ๆ ที่ต้องเจอได้แน่“
…
“เพราะอย่างที่บอกว่าสำหรับเรา การเรียนสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ทริคการจัดการเวลาของเราหลัก ๆ คือ พอเราเรียงลำดับความสำคัญแล้ว เราก็จะมาจัดวางงานทีละอย่าง ว่าเราจะต้องทำอะไรก่อน ต้องทำทำอะไรทีหลัง อันนี้คือเป็นkeyสำคัญเลย“
– พี่ภูวินทร์ วิศวะฯ อินเตอร์ จุฬา (ISE) –
สวัสดีน้อง ๆ ชาว TCASter ทุกคน วันนี้พี่ว่าน และพี่วิลล์จะพาน้อง ๆ ไปพบกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษกับนักแสดงหนุ่มหล่อขวัญใจสาววาย “ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน” หนึ่งในนักแสดงซีรีย์ชื่อดังอย่างเรื่อง ปลาบนฟ้า หรือ “ปี” ในซีรีส์ชื่อดังเรื่อง ปลาบนฟ้า นั่นเอง โดยวันนี้พี่ภูวินทร์จะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหา’ลัย แนะนำหลักสูตรคณะที่พี่ภูวินทร์เรียนอยู่ นั่นคือ คณะ ISE จุฬาฯ หรือวิศวกรรมศาสตร์ หนักสูตรนานาชาติ นั่นเอง รวมไปถึงบอกเคล็ดลับความสำเร็จที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน! อย่ารอช้า ไปดูกันเลย!
- แนะนำตัวสั้น ๆ ให้น้อง ๆ รู้จักกันหน่อย
สวัสดีครับ ผมภูวินทร์นะครับ กำลังเรียนอยู่คณะ ISE จุฬาฯ ปี 2 สาขา ICE (Information & Communication Engineering) ครับ
. - ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ทำไมภูวินทร์ถึงอยากเข้าคณะ ISE จุฬาฯ และตัดสินใจเลือกเรียนภาค ICE
เหตุผลที่อยากเข้า ISE ก็เพราะเรามาจากโรงเรียนอินเตอร์ แล้วถ้าจะให้เด็กอินเตอร์อย่างเราไปสอบ GAT PAT ก็ตายแน่ ๆ (หัวเราะ) เดี้ยงแน่นอนบอกเลย พอมาดูมหา’ลัยที่อยากเข้าในไทยแล้ว ก็จะมีทางเลือกค่อนข้างจำกัด เพราะต้องพยายามหาพวกคณะและมหา’ลัยที่เป็นหลักสูตรอินเตอร์ก่อน ส่วนตัวเราเองก็เป็นคนที่ชอบด้านคอมพิวเตอร์ และก็อยากเรียนวิศวะอยู่แล้ว เลยจะมีตัวเลือกพวกคณะวิศวะ อินเตอร์ อย่างที่จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ลาดกระบัง และสุดท้ายก็เลือกที่จุฬาฯ ISE เสร็จแล้วเราก็มาเลือกภาค ICE เพราะว่าสนใจและชอบเรียนตรงนี้อยู่แล้ว
. - ได้ยินมาว่า ภูวินทร์ตัดสินใจสอบเข้ามหา’ลัยตั้งแต่ ม.5 ด้วย ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น
“เวลาและเงิน” อย่างแรกคือ มันหายไปปีครึ่ง ตอนนั้นอยู่ ม.5 เทอม 1 และกำลังคิดอยู่ว่าจะพาสชั้นดีไหม ถ้าพาสชั้นจะประหยัดเวลาไปปีครึ่งเลย แต่ก็จะเสียเวลาที่จะได้อยู่กับเพื่อนตอนม.ปลาย ก็ยังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องเงิน ค่าเทอม และค่ากินอยู่ที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อจะอยู่โรงเรียนต่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพาสชั้นมา ซึ่งก็โชคดีเพราะว่าพาสชั้นปุ๊บ เจอโควิดพอดี ก็ไม่ได้อยู่กับเพื่อนอยู่ดี
. - อยากให้ภูวินทร์แนะนำหลักสูตร ISE แบบคร่าว ๆ ให้น้อง ๆ ฟังหน่อย
ต้องอธิบายก่อนว่า ISE จะแยกออกมาจากวิศวะ จุฬาฯ หลักสูตรปกติ ก็คือเป็นหลักสูตรวิศวะ อินเตอร์ ข้อแตกต่างก็คือ
1. เราจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ
2. เราจะได้เลือกภาคตั้งแต่ก่อนเข้าเลย
ระบบก็จะคล้าย ๆ วิศวะ Intania ปกติ ก็คือ เอาคะแนน หรือเกรดเฉลี่ยมาเรียงกัน แล้วอันดับหนึ่งก็จะได้เลือกก่อน เพียงแค่ว่า ISE จะใช้คะแนนสอบเข้ามาเลือกเลย แทนที่จะใช้คะแนนของปี 1
. - แล้วภาควิชาทั้งหมดของ ISE มีอะไรบ้าง
ก็จะมีทั้งหมด 5 ภาคด้วยกัน คือ
1. ICE (Information & Communication Engineering)
2. ADME (Automotive Design and Manufacturing Engineering)
3. AI (Robotic and AI)
4. AERO (Aerospace Engineering)
5. NANO (Nano Engineering)
โดยภาค ICE ที่ผมอยู่ ชื่อเต็ม ๆ ของมันคือ “Information & Communication Engineering” จะเรียนเกี่ยวกับวิศวกรรมการสื่อสาร ซึ่งจะพ่วงไปถึงเรื่องของคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ พวกอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ รวมถึงไฟฟ้า เหล่านี้จะอยู่ในภาค ICE เป็นหลัก
ADME หรือ Automotive Design and Manufacturing Engineering ก็จะเรียนเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องกลและยานยนต์ หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร พวกนี้จะอยู่ในฝั่ง ADME
ภาคต่อมาคือ AI หรือ Robotics and AI นั่นเอง ชื่อก็ค่อนข้างตรงตัว เพราะจะเรียนเกี่ยวกับหุ่นยนต์ และการโค้ด AI
ส่วน AERO ย่อมาจาก Aerospace Engineering หรือวิศวกรรมอากาศยาน ก็จะเรียนเกี่ยวกับเครื่องบินและยานยนต์
และสุดท้ายคือ NANO หรือ Nano Engineering ก็จะเรียนเกี่ยวกับพวกนาโนเทคโนโลยี หรือ Material (วัสดุ) ต่าง ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานวิศวกรรมได้ และยังได้เรียนเกี่ยวกับเคมีชีวภาพ หรือ Biochemistry อีกด้วย
. - แล้วปี 1 ภูวินทร์ได้เรียนเจาะลึกวิชาในภาค ICE ไปบ้างหรือยัง ยากมากไหม
จริง ๆ แล้วก็ยังไม่ค่อยรู้ลึกเกี่ยวกับภาควิชามากเท่าไร เพราะว่าคณะวิศวะจะเข้าภาควิชากันตอนปี 2 ทุกภาค ซึ่งรวมไปถึงภาคปกติและ ISE ด้วย ดังนั้นปี 1 เราจะเรียนรวมเหมือนกันหมดก่อน โดยวิชาที่เรียนก็จะมี ฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัส และ Computer Programming ซึ่งทั้ง 4 วิชาก็จะเป็นวิชาสำคัญหลัก ๆ ของคณะเลย และก็จะมีวิชาเสริมอย่างภาษาอังกฤษ หรือ Explore Engineering ดูสายงานของวิศวะว่ามีอะไรบ้าง และมีวิชาภาคปฏิบัติ (Lab) ของฟิสิกส์กับเคมี
. - รีวิวประสบการณ์เด็ดกับชีวิต 1 ปีที่ผ่านมาใน ISE ให้น้อง ๆ ฟังหน่อย
ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่อ่านหนังสือสอบโดยปกติแล้ว เราไม่ใช่คนขยันขนาดนั้น วิชาไหนที่คิดว่าทำได้ก็จะไม่อ่านเลย อันไหนไม่ได้ก็ค่อยไปอ่านและทำความเข้าใจเอา เราจะเป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นพอขึ้นปี 1 เทอม 1 นี่เราก็เหมือนโดนเกรดฟาดหน้าไปเหมือนกัน เหมือนโดน wake up call เลย (หัวเราะ) การเรียนโรงเรียนกับการเรียนมหา’ลัยมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน จำได้ว่าเลยตอนมิดเทอม พอมานั่งคำนวณเกรดแล้วอยู่ประมาณ 1.7-1.8 นี่คือแย่แล้ว จะต้องทำยังไงดี
ดังนั้นการเรียนมันต่างจากเดิม เราจะต้องอ่านหนังสือ เตรียมตัวเองให้พร้อม ต้องคอยอัปเดตกับตัวเองตลอด เพราะพอเรียนมหา’ลัยเราต้องใช้ความรับผิดชอบสูงกว่าอยู่โรงเรียนมาก แทบจะไม่มีคะแนนเก็บอะไรเลย ส่วนใหญ่คณะวิศวะจะมีคะแนนเก็บอยู่ที่ประมาณ 20-30% ซึ่งอาจจะช่วยให้เกรดดีขึ้นบ้าง แต่ไม่สามารถช่วยจากตกเป็นผ่านได้ เลยกลายเป็นว่าพอเห็นเกรด เราก็ต้องมาปรับเปลี่ยนตัวเอง ตั้งแต่วิธีการอ่านหนังสือจนถึงเรื่องอื่นๆ ซึ่งก็สนุกดีครับ ได้อยู่กับเพื่อน ๆ ด้วย
. - นอกจากการปรับตัวแล้ว คิดว่าชีวิตมหา’ลัยในยุค COVID-19 ให้อะไรกับภูวินทร์อีก
จริง ๆ ยิ่งเรียนออนไลน์ ยิ่งอาศัยความรับผิดชอบเยอะ เพราะถ้าอยู่ในห้องเรียน เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนยังเกรงใจอาจารย์อยู่ แต่พอเรียนออนไลน์ มันไม่มีใครมาหยุดเราเล่นโทรศัพท์ถูกไหม ถ้าอาจารย์อยู่ข้างหน้า ถึงเราเล่นมือถือ เราก็จะแอบ ๆ เล่น แต่พอเราเรียนออนไลน์ ปิดกล้องปุ๊บ เปิดซูมทิ้งไว้ เดินไปไหนก็ได้ คนส่วนมากก็แอบนอน (หัวเราะ) หลัก ๆ ก็คือต้องมีความรับผิดชอบและวินัยให้มากขึ้น
.
. - ภูวินทร์มีเทคนิคการอ่านหนังสือยังไงบ้าง ทั้งตอนเรียนปกติ และตอนสอบเข้าเลย มีทริคอะไรอยากแนะนำน้อง ๆ มั้ย?
คือ คณะวิศวะมันจะมีวิชาสองประเภท คือ “วิชาที่ต้องจำ” กับ “วิชาที่ต้องทำ” ซึ่งมันต่างกัน เพราะอย่างวิชาที่เราต้องจำ มันจะมีคำตอบที่ถูกต้องแค่หนึ่งคำตอบเท่านั้น เช่น ถ้าถามว่ามือเรามีกี่นิ้ว? คำตอบก็คือข้างละ 5 นิ้ว คือมันก็จะมีคำตอบเดียวถูกไหม
ส่วนวิชาอีกประเภทหนึ่ง คือ วิชาที่ต้องทำ คือเราต้องทำโจทย์เยอะ ๆ เพราะโจทย์ในวิชานี้จะเป็นโจทย์ที่ถามลึก ถามวิเคราะห์ และใช้กระบวนการคิด การประยุกต์ต่าง ๆ เยอะ ดังนั้นถ้าเราโจทย์เยอะ ๆ เราก็จะเห็นตัวอย่างของโจทย์แนวนั้นเยอะ พอเจอข้อสอบจริง ๆ เราก็จะรู้ว่า เราต้องทำอะไรต่อ ส่วนเคล็ดลับอ่านหนังสือของเราตอนสอบเข้า คือ เราจะ set เวลาไว้เลย ว่าวันนึงเราจะทำอะไรบ้าง ทำกี่ชั่วโมง รวมถึงก็จะดูว่าเราต้องสอบเนื้อหาอะไรบ้าง แล้วจะแบ่งเวลากับเนื้อหายังไงได้บ้าง ซึ่งแต่ละวิชาปริมาณเนื้อหามันไม่เท่ากันการฝึกมันมาก-น้อยมันก็จะไม่เท่ากันไปด้วย ดังนั้นเราก็ต้องวางแผนล่วงหน้าไว้เลย ว่าวัน ๆ หนึ่งจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจะต้องทำอะไรบ้าง
.
. - แล้วพอต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแบบนี้ ภูวินทร์มีวิธีการบริหารจัดการเวลายังไงบ้างให้เราสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กันได้
สำหรับเรา เราจะคิดก่อนเลยว่า อะไรสำคัญที่สุด? ส่วนตัวพอเราทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เราก็ตัดสินใจตั้งแต่แรกเลยว่าเราจะเลือกอะไรมาก่อน ซึ่งสำหรับเรา เราให้การเรียนสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนจะมาเป็นอันดับแรก อย่างเช่น ถ้ามีงานที่เวลามันชนกับเวลาที่เราเรียน เราก็จำเป็นต้องไม่รับงานนั้น ต้องเลือกการเรียนมาก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าสำหรับเรา การเรียนสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ทริคการจัดการเวลาของเราหลัก ๆ คือ พอเราเรียงลำดับความสำคัญแล้ว เราก็จะมาจัดวางงานทีละอย่าง ว่าเราจะต้องทำอะไรก่อน ต้องทำทำอะไรทีหลัง อันนี้คือเป็น key สำคัญเลย
. - รู้เรื่องการเรียนไปบ้างแล้ว ลองรีวิวสังคมในคณะ และความประทับใจของภูวินทร์ให้ฟังหน่อย
คณะวิศวะมันจะมีคำพูดยอดฮิตว่า “บินเดียวไปไม่รอด” คือสังคัมมันที่ค่อนข้างจะสามัคคีกันมาก ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องการสอบ และพวกกิจกรรมต่าง ๆ เพราะส่วนมาก การอ่านหนังสือคนเดียวมันจะเป็นไปได้ยากมากในคณะเรา คือมันจะไปไม่รอด (หัวเราะ) พวกเราเลยต้องช่วยกันอ่านช่วยกันติว ช่วยกันทำข้อสอบ หาสรุปต่าง ๆ กันตลอด เหมือนทุกคนคอยช่วยเหลือกันดีมาก ๆ
แต่ก็น่าเสียดายนิดนึง เพราะว่าปีเรามันมีโควิดด้วย เลยก็ทำให้สโคปของการหาเพื่อนมันน้อยลงมาก ๆ เพราะพวกกิจกรรมอย่าง CU First Date หรือกิจกรรมรับน้องบ้านต่าง ๆ ไม่มีเลย เลยทำให้เรารู้สึกว่าจริง ๆ เราควรจะมีสังคมในคณะที่กว้าง ๆ กว่านี้มาก ๆ แต่เพราะโควิด ทำให้ทุกคนต้องอยู่บ้าน กิจกรรมก็ไม่มี เจอกับทุกคนก็ผ่านหน้าจอ สังคมที่ควรจะได้จากการไปคณะเลยหายไปเยอะเลย
แต่เราก็ยังโชคดีอยู่ว่าตอนเราเข้ามา ประทับใจเลยคือกิจกรรมรับน้องกรุ๊ปบ้านของวิศวะ และมี First Meet ของ ISE ทำให้ได้เจอคนในภาคและคนในคณะบ้าง ก็จับกลุ่มกันไป เสร็จพอเปิดเทอมก็นัดกันไปเรียน ไปอ่านหนังสือกันเอง ก็เลยยังโชคดีที่ยังมีเพื่อนตรงนั้นอยู่ และทุกคนเป็นกันเองมาก ๆ
. - คิดว่าอะไรคือจุดเด่นของคณะ ISE
ส่วนตัวคิดว่าคณะวิศวะอย่าง ISE เป็นคณะที่สอนให้คิดเป็นสเต็ป แต่การเข้าคณะนี้จะมีกับดักอย่างหนึ่งคือ “การอยู่ในกรอบ” เด็กวิศวะทุกคนถูกสอนมาเหมือน ๆ กันว่า มันจะต้องมีสเต็ป หนึ่ง สอง สาม เพราะในแต่ละวิชาที่เรียนเป็นวิชาที่ค่อนข้างใช้ตรรกะเป็นหลัก เช่น เขาให้โจทย์ข้อนี้มา แต่ว่าสิ่งที่เราเรียนมันไม่ตรงกับโจทย์ เราจะต้องประติดประต่อให้ได้ว่าเนื้อหาที่เราเรียนกับโจทย์มันเชื่อมโยงกันอย่างไรเป็นสเต็ป ๆ ไป ซึ่งเราชอบตรงนี้อยู่แล้ว ชอบความเป็นโลจิกแบบนี้
แต่ว่ากับดักที่ว่าก็คือ การคิดอยู่ในกรอบ กล้าพูดได้เลยว่าเด็กวิศวะส่วนใหญ่เมื่อจบออกมาแล้ว ก็จะไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะถูกสอนให้คิดเป็นสเต็ป หนึ่ง สอง สาม สี่ และจะยึดติดกับกรอบตรงนั้น แต่จริง ๆ แล้วควรจะเอาทั้งโลจิกตรงนั้นและความคิดสร้างสรรค์มาร่วมกัน จึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
. - แล้วอย่างนี้ พอภูวินทร์มีประสบการณ์การแสดงเนี่ย มันมีส่วนช่วยให้ภูวินทร์คิดนอกกรอบมากขึ้นบ้างไหม?
ถ้าเป็นเรื่องการเรียนก็อาจจะไม่ได้ประยุกต์ขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องการใช้ชีวิต คือ ช่วยได้มากก มันทำให้เรามองอะไรหลายมุมมองมากขึ้น จากประสบการณ์การทำงาน มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้จากพี่ ๆ ฝ่าย Creative, พี่ ๆ ฝ่ายเบื้องหลังต่าง ๆ ได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสร้างสรรค์ผลงานยังไงบ้าง บวกกับการเรียนวิศวะทำให้เราได้เรียนรู้ขั้นตอนการคิด การวางแผนต่าง ๆ อยู่แล้ว มันทำให้เราเห็นภาพ และสามารถนำความรู้ทั้งสองด้านมาผสมผสานกันได้ เพราะจริง ๆ มันสำคัญมากทั้งสองด้าน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าฝ่าย Creative มีความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ แต่ไม่มีการวางแผนให้เป็นสเต๊ป ก็ทำงานไม่ได้ วิศวะก็เหมือนกัน ต่อให้จะวางแผนมาดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความคิดสร้างสรรค์เลย ไม่มีความสวยงามเลย งานมันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน
. - อยากรู้ว่าพี่ ๆ ในคณะหรือว่าในสาขาเนี่ย จบไปนี่ทำสายอาชีพอะไรกันบ้าง?
สำหรับภาพรวมคณะ ก็จะมีพี่ ๆ ไปทำบริษัทหลัก ๆ ของสายวิศวะ เช่น ปตท. ,Gulf ,กสิกร ,SCG ต่าง ๆ นอกจากนี้ก็มีหลายคนที่ถูกบริษัทใหญ่ ๆ ซื้อตัวไปทำงานหลังจบเลยก็มี หรือว่าจะไปทำงานต่างประเทศมีเยอะเหมือนกัน
ในส่วนของสาขา ICE หลัก ๆ ก็จะไปทำบริษัท Telecomm เช่น พวก TRUE, AIS, DTAC พวกการออกแบบการสื่อสารต่าง ๆ เพราะมันสายตรงอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งก็สามารถไปทำพวก Computer Programming ได้ด้วย หรือจะเปลี่ยนสายไปทำงานบริหารก็ได้เหมือนกัน เพราะมันจะมีบางวิชาของสาขาเราที่จะได้เรียนกระบวนการคิดคล้าย ๆ กับบริหารเลย
.
. - แล้วส่วนตัวภูวินทร์อยากทำสายอาชีพไหนเป็นพิเศษมั้ย?
คือจริง ๆ ในตอนนี้เราไม่ได้มีเป้าหมายขนาดนั้น เราแค่รู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำอะไรแล้วสนุกไปกับมัน ก็อยากทำมันต่อไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าได้ทำอะไรแล้วรู้สึกว่า มันไม่โอเค เราก็จะไม่ทำมันต่อ ก็คือยังอยากค้นหาตัวเองไปเรื่อย ๆ
. - มีอะไรอยากแนะนำน้อง ๆ ที่กำลังสนใจคณะวิศวะมั้ย เช่น ทักษะที่ควรมี หรือการเตรียมตัวเตรียมใจต่าง ๆ
สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังสนใจวิศวะ หรือใครที่กำลังเรียนวิศวะอยู่ครับ เราคิดว่าทักษะจำเป็นที่เด็กวิศวะควรมี คือ เรื่องของความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ความกล้าที่จะแสดงตัวตนของตัวเอง เพราะในการเรียนวิศวะเนี่ย มันจะมีคำตอบที่ถูกต้องแค่คำตอบเดียว ดังนั้นเราจะไม่ได้เรียนรู้การ express อะไรที่แตกต่างเลย
คือ ทุกคนต้องคิดเป็นระบบเดียวกันหมด แตกต่างจากพวกสายงานศิลป์ คือ มันเป็นงานที่เราสามารถถ่ายทอดความเป็นตัวเองผ่านผลงานต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน หนัง รูปภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันจะสอนให้เราคิดได้หลายมุมมองมากกว่า
เพราะฉะนั้นก็อยากจะฝากน้อง ๆ ในเรื่องนี้ คือ ถึงแม้เราจะเรียนวิศวะ แต่การกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะแสดงตัวตน เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญมาก ๆ ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้กับงานสายวิศวะโดยตรง แต่เราสามารถเอาไปใช้กับงานอื่น ๆ ที่ต้องเจอได้แน่นอน
. - สุดท้ายอยากให้ภูวินทร์ฝากผลงาน หรือช่องทางติดตามสักหน่อย
เราขอฝากInstagramแล้วกัน @Phuwintang มาfollowกันได้น้าาา:)