fbpx

#TCASterชวนน้องรีวิว (พี่อาย) ติดรอบพอร์ตคณะแพทยฯ มช. ใช้คะแนนภาษาอังกฤษ

 #TCASterชวนน้องรีวิว (พี่อาย) ติดรอบพอร์ตคณะแพทยฯ มช. ใช้คะแนนภาษาอังกฤษ

#TCASterชวนน้องรีวิว

(พี่อาย) ติดรอบพอร์ตคณะแพทยฯ มช. ใช้คะแนนภาษาอังกฤษ

พี่อายให้คำแนะนำน้องๆ ไว้เยอะมากครับ ใครอยากสอบติดแบบที่อาย เก็บประสบการณ์จากพี่อายให้ครบหมดทุกตัวอักษรเลยนะครับ ให้คุ้มค่ากับความตั้งใจของพี่อายนะ

1. แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อยซิ

“พี่อาย สอบติด TCAS รอบ 1 โครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ(โรงเรียนไทย)”

สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออาย รมิดา แจ้งนิล จบการศึกษาจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย แผนการเรียน วิทย์-คณิต ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการสอบเข้าติด TCAS รอบ 1 Portfolio โครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ(โรงเรียนไทย)

.

2. อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเรียนคณะแพทยศาสตร์

“ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาของพี่อาย ได้ผลักดันให้พี่อายอยากเป็นหมอมาตลอด”

จุดเริ่มต้น..

เริ่มมาจากตอนเด็กๆ พี่ชอบดูหนังหรือซีรีย์ที่เกี่ยวกับหมอ เหมือนธรรมดาของเด็กๆ ในตอนนั้น ที่อาชีพในความคิดไม่ได้มีช้อยส์หลากหลายมาก พอดูหนังแล้วก็บอกกับแม่ว่าอยากเป็นหมอเพราะว่าเท่ห์ ดูดี เหมือนเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคนได้ แต่ก็ยังไม่ได้มีความคิดที่หนักแน่นเท่าไหร่

เด็กหญิงวัยประถม..

พอมาจนถึงประมาณช่วงประถม กลางดึกคืนนึงมีเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านหัวใจล้มเหลว จำได้ว่าวันนั้นไม่มีใครสามารถทำ CPR ได้เลย ทำให้ต้องรอรถพยาบาล แต่ว่าสายเกินไป จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้พี่คิดเลยว่า ถ้าเราเป็นหมอ เหตุการณ์แบบนี้เราคงทำอะไรได้มากกว่าอยู่เฉยๆ เราคงสามารถช่วยชีวิตได้ไม่มากก็น้อย จากวันนั้นเป็นจุดสตาร์ทที่ทำให้พี่สนใจในอาชีพหมออย่างจริงจังมากขึ้นจริงๆ

ตอนนั้นสิ่งที่รู้แน่ๆ คือว่าถ้าอยากเป็นหมอ ต้องทำเกรดดีๆ ก่อน จึงทำให้ตั้งใจเรียนมุ่งมั่นในการรักษาระดับผลการเรียนให้ดีอยู่เสมอ พี่เป็นคนที่รักการทำกิจกรรมมากๆ จะแบ่งเวลาเรียนกับการทำกิจกรรมชัดเจน แต่ที่ยังขาดไปคือยังไม่มีการกลับมาทบทวนบทเรียนที่บ้านอย่างจริงจัง

จุดเปลี่ยน..

จนมาถึงตอน ม.4 ที่พี่ได้มีโอกาสเข้าค่ายที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนเลยที่ทำให้พี่จัดการแผนชีวิตตัวเองให้ดีมากขึ้น พี่เปลี่ยนตัวเองมากหลังจากกลับจากค่ายเพราะรู้แล้วว่าเราต้องพยายามอย่างมากเพื่อที่จะสามารถเข้าเรียนในคณะแพทย์ได้ พี่ตั้งใจเรียนมากขึ้น และพี่กลับมาอ่านหนังสืออย่างจริงจังอย่างกับเป็นคนละคนกับคนก่อนหน้านี้

และพี่ยังคงทำกิจกรรมที่พี่รักควบคู่ไปกับการรักษาผลการเรียนและการทบทวนหนังสือเสมอ

ค่ายคณะแพทย์ มช.

หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสเข้าค่ายอยากเป็นหมอของทางคณะแพทย์ มช. พี่ประทับใจมากๆ ในด้านวิชาการที่พี่ๆ ได้สอนให้ในค่าย อีกทั้งความรู้ที่ได้รับมา พี่นำมาใช้แข่งขันต่อได้อีกในหลายๆ สนาม ทั้งด้านกิจกรรมที่แสดงถึงศักยภาพของนักศึกษาและความอบอุ่นของมิตรภาพในคณะ

ทำให้เห็นว่าคณะแพทย์ไม่ได้เรียนเพียงอย่างเดียว ทำให้พี่รู้สึกว่าคณะแพทย์มช.เป็นสถาบันที่ลงตัวสำหรับตัวพี่ ทั้งไม่ไกลบ้าน สังคมที่ดี กิจกรรมเด่น และวิชาการที่มีประสิทธิภาพ

เส้นทางที่ชัดเจน..

หลังจากเข้าค่ายที่นี่ พี่ก็ชัดเจนในตัวเองมากๆแล้วว่าทางนี้คือทางที่พี่เลือกจะเดินต่อ พี่หยุดการตามหาตัวเองผ่านการเข้าค่ายและมุ่งมั่นเตรียมตัวทุกทางสำหรับการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะแพทย์นี้

เข้าใจลึกซึ้ง..ต่ออาชีพแพทย์

ระหว่างทางพี่ก็ได้มีโอกาสทำกิจกรรมจิตอาสาเกี่ยวกับด้านการแพทย์ทั้งในโรงพยาบาลและงานจิตอาสาการแพทย์ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 พี่ได้สัมผัสการช่วยเหลือผู้ป่วยในงานนั้นจริงๆ ได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อิ่มใจมากที่เราได้มีโอกาสช่วยเหลือและทำหน้าที่ตรงนี้ นอกจากนั้นพี่มองว่าอาชีพแพทย์เป็นทางเดินที่รวมทั้งความชอบของพี่ เป้าหมายในอนาคต ความตั้งใจเพื่อส่วนรวมของพี่ รวมไปถึงการที่พี่จะมีความมั่นคงในอาชีพ พี่จะสามารถดูแลครอบครัวของพี่ได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่พี่สามารถใช้ความรู้ที่มีดูแลสุขภาพของท่าน รักษาอาการเจ็บป่วยได้ ซึ่งพี่มีความสุขในทางเลือกนี้ที่ได้มาอยู่ในจุดที่ฝันมาตลอด และครอบครัวของพี่ก็มีความสุขที่ได้เห็นพี่มีความสุขและประสบความสำเร็จในอีกก้าวด้วยค่ะ

.

3. ใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ไหน วางแผนการเตรียมสอบอย่างไร มีเทคนิคอะไรบ้าง

“พี่อายมีแผนการเตรียมสอบอย่างชัดเจน โดยจะมี 4 ส่วนที่ต้องทำให้ได้อย่างดีเยี่ยม”

เทคนิคการเตรียมสอบของพี่อาย

1. เก็บเกรดให้ไม่ต่ำกว่า 3.80
เริ่มจากศึกษาหาข้อมูลเรื่องเกณฑ์ต่างๆ รายละเอียดโครงการตั้งแต่ชั้น ม.4 เลย ตอนนั้นยังไม่มีระบบ TCAS โครงการแพทย์เรียนดีก็ยังเป็นระบบที่ต้องยื่นเกรดและเข้าไปสอบโดยตรงกับทางคณะ ก็เลยอิงเกณฑ์แค่ในประเด็นผลการเรียนที่สามารถยื่นโครงการนี้ได้ คือต้องไม่ต่ำกว่า 3.75 พี่ก็เลยตั้งเป้าหมายตั้งแต่ ม.4 ว่าผลการเรียนต้องไม่ต่ำกว่า 3.80 เพราะว่านอกจากจะยื่นโครงการแพทย์เรียนดีที่ มช.ได้ ก็จะสามารถยื่นที่อื่นได้รวมไปถึงทุนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเตรียมตัวอันดับแรกคือเกรดของเราค่ะ แต่พอ ม.5 เริ่มมีระบบTCAS พี่ก็ไปดาวน์โหลดฟอร์มของคณะในการยื่นพอร์ตมาดูเป็นguideline อีกครั้ง

2. สอบเก็บคะแนนภาษาอังกฤษตาม requirement ไว้แต่เนิ่นๆ
คณะแพทย์ มช. โครงการแพทย์เรียนดีอังกฤษได้กำหนดให้ผู้ที่สมัครต้องมีผลการสอบวัดความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ดังนี้

  • TOEFL iBT ไม่น้อยกว่า 79 คะแนน
  • TOEFL ITP ไม่น้อยกว่า 550 คะแนน
  • Academic IELTS (Overall Band Score) ไม่น้อยกว่า 6.5 คะแนน
  • CU-TEP ไม่น้อยกว่า 80 คะแนน
  • CU-TEP with speaking ไม่น้อยกว่า 100 คะแนน
  • CMU-eTEG ไม่น้อยกว่า 75 คะแนน

ส่วนตัวพี่ พี่เลือกสอบ CMU-eTEG ได้คะแนน 90/100 ค่ะ
.
ปีก่อนหน้าทางคณะแพทย์ตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 80 คะแนน พี่เลยอิงตามปีก่อนหน้า เวลาสอบควรสอบแต่เนิ่นๆ เลย เพราะว่า

  1. ข้อสอบค่อนข้างยาก โอกาสค่อนข้างน้อยที่จะสอบครั้งเดียวแล้วได้คะแนนออกมาดีเลย ถ้าสอบใกล้ๆ ช่วงยื่นพอร์ทจะค่อนข้างเสี่ยงในกรณีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ หรือยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะคะแนนภาษาอังกฤษคิดคะแนนเป็น20% ในการเข้าคัดเลือก
  2. ถ้าสอบตอนม.6จะเป็นการกดดันตัวเราเองค่ะ อย่างที่รู้คือ ม.6 จะยุ่งมาก ทั้งสอบ ทั้งงานที่โรงเรียน กิจกรรม และเก็บพอร์ท เป็นช่วงที่วุ่นวายมาก หากเราสามารถสอบผ่านก่อนขึ้น ม.6 ได้ก็จะช่วยปลดภาระที่สำคัญมากไปได้อย่างนึงและจะทำให้เราเก็บกิจกรรมได้เต็มที่ด้วยค่ะ
  3. CMU-ETEG เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่ต้องสอบกับระบบคอมพิวเตอร์ของทาง มช. ด้วยคอมที่มีอยู่จำกัด เลยจะต้องมีการจองรอบซึ่งขอบอกเลยว่าเต็มเร็วมากๆ ค่ะ รวมไปถึงการสอบอื่นๆด้วย มันจะมีเป็นรอบๆ พยายามเกาะติดว่ามีรอบสอบเมื่อไหร่บ้างและให้รีบไปสอบ ถ้าสอบใกล้ๆ ช่วงยื่นแล้วไม่ผ่าน จะน่าเสียดายมากที่ไม่มีรอบเหลือให้สอบใหม่ได้ทัน

3. เก็บ Portfolio
พอร์ตเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา พี่ใช้วิธีหาช่องทางการแข่งขันมาเรื่อยๆ เลยค่ะ ทั้งตามที่โรงเรียนได้ประกาศไว้และหาเองตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ประกาศเวลามีการจัดแข่งขันอะไร เช่น contest war, Dek-D เป็นต้นค่ะ ในช่วง ม.4-ม.5 เป็นช่วงหาความถนัดของตัวเองจากการแข่งขันเลยก็ว่าได้ เพราะพี่ลงแข่งทุกอย่าง ทุกประเภทเพื่อหาประสบการณ์และหาว่าการแข่งประเภทไหนที่เราโดดเด่น

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พี่ค้นพบความถนัดของตัวเองคือพี่ได้มีโอกาสลองแข่งขัน Speech contest ที่โรงเรียน ซึ่งตอนแรกพี่ไม่กล้าเลยค่ะ เพราะว่าไม่มั่นใจในสำเนียงและการพูดในที่สาธารณะ แต่ว่าก็อยากลองดู เลยได้ตอบตกลงแข่งไป เป็นเหมือนประตูสำคัญเลยที่ทำให้พี่มีความมั่นใจและลงแข่งในเวทีที่ใหญ่ขึ้น ในเวทีระดับประเทศแรกๆ พี่ก็ยังไม่ชนะ ตกรอบแรกก็มี แต่พี่ไม่เคยท้อ นำประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาตนเองเสมอในทุกๆ สนาม จนในที่สุดพี่ก็ได้รางวัลที่ 1 และทำให้พี่ได้โอกาสไปสู่เวทีระดับนานาชาติได้ และได้รางวัลเยาวชนผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดเชียงใหม่ได้อีก เลยทำให้พี่เห็นความสำคัญของโอกาส เปิดใจรับทุกโอกาส ไม่ปฏิเสธโอกาสที่เข้ามาหาเรา บางโอกาสอาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปได้เลย หรือบางโอกาสจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ครั้งต่อไปเราสำเร็จ

4. การเขียนบรรยายพอร์ต
สำคัญมากๆ ในแบบฟอร์มของคณะจะมีพื้นที่ให้เราเขียนบรรยายจำกัด ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราอยากเขียนลงไป พี่ใช้เวลาเขียนประมาณเดือนนึงเลย ตอนแรกเขียนลงใน A4 แล้ว brainstorm เป็นแผนผังเลยว่า เราไปทำอะไรมา เราได้อะไรจากการทำสิ่งนี้ เราจะนำมันไปเชื่อมโยง ต่อยอดได้อย่างไร(พยายามเชื่อมโยงความเป็นแพทย์ให้ได้) หลังจากนั้นเรียบเรียงเขียนแบบ free writing ทั้งหมดที่อยากบอก แล้วย่อมันให้สั้นที่สุดแต่ใจความสำคัญยังครบถ้วน ใช้วิธีเอาดินสอมาเขียนแล้วลบจนกว่าจะออกมาดี เห็นตัวเราชัดที่สุด ให้คุณครูช่วยเช้ค และเมื่อโอเคแล้วก็เอาปากกามาคัดลายมือเขียนให้สวยที่สุดไปเลยค่ะ

.

4. มีลงเรียนพิเศษที่ไหนบ้างมั้ย ลองแนะนำไว้ให้น้องๆ หน่อย

“พี่อายเรียนพิเศษเยอะมากก น้องๆ เชียงใหม่ มาเก็บไปได้เลย”

พี่เป็นคนเรียนพิเศษค่อนข้างเยอะเลยค่ะ 555 เรียนวิชาละ 2 ที่ เป็นเรียนกับติวเตอร์แบบกลุ่ม 1 ที่เพื่อที่จะได้เพิ่มความเข้าใจในเรื่องที่เรียน เป็นการเรียนเพิ่มเติมในเรื่องที่กำลังเรียนอยู่และเวลามีคำถามก็ถามได้เลย ส่วนเรียนกับคอมพิวเตอร์อีก 1 ที่เพื่อที่จะสามารถเรียนadvanceกว่าในห้องเรียนได้เรื่อยๆ เลย จะทำให้เก็บเนื้อหาทั้งหมดได้เร็วเพื่อไปทำโจทย์+เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จากพี่ๆ ติวเตอร์ค่ะ (เทคนิคต่างๆ จะช่วยน้องในการทำโจทย์ได้เยอะมาก)

ที่พี่เคยลงเรียนแล้วดีมากๆ อยากแนะนำสำหรับน้องๆ เชียงใหม่เลยก็คือ

วิชาคณิตศาสตร์

  • คอร์สคณิตศาสตร์ของพี่แท๊ป Ondemand เพราะว่าต้องบอกก่อนเลยว่าพี่เป็นคนที่ไม่ได้เก่งคณิตศาสตร์มาก ต้องลงทุนลงแรงทำความเข้าใจและทำโจทย์มากกว่าเพื่อนๆถึงจะสามารถทำข้อสอบได้ สิ่งที่เป็นตัวช่วยมากเลยคือ A point ของพี่แท๊ปที่จะสรุปสิ่งจำเป็น ที่จำเป็นต้องจำและเข้าใจก่อนทำข้อสอบ พี่อ่านทวน A point ทุกครั้งก่อนสอบแล้วเวลาสอบจริงๆ มัน Practicalมาก สามารถจำมาใช้ได้เลยจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะ upskill คณิตของพี่แท๊ปค่ะ เวิร์คมากๆ ทั้งทำโจทย์และสรุปไปพร้อมๆ กันเลย เข้าใจมากๆ ค่ะ
  • ครูเจ Learnsi’r ในช่วงก่อนยื่นพอร์ต พี่กังวลกับคณิตมากว่าถ้าต้องสอบจริงๆ จะทำได้มั๊ย การเรียนคณิตกับพี่เจคือ intensive มากค่ะ แต่ไม่รู้สึกเครียดเลย พี่เจเป็นครูที่ทำให้การเรียนคณิตไม่น่าเบื่อเลยค่ะ สนุกมากๆๆ เก็บเนื้อหาได้ครบในเวลาอันรวดเร็ว ได้ทำโจทย์เยอะมากๆๆ หลากหลายรูปแบบ หลายระดับยากง่ายคละกัน ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนสามารถถามพี่เจได้หมดเลยแล้วจะได้คำตอบที่เข้าใจง่ายและสามารถนำเทคนิคไปใช้ในข้ออื่นๆ ได้ด้วย พี่เจทุ่มเทสอนนักเรียนมากๆ ช่วยพี่ทั้งในเรื่องคณิตศาสตร์และช่วยแนะนำการทำพอร์ตของพี่ด้วยค่ะ (แอบบอกว่าเรียนกับพี่เจคือไม่ค่อยได้เรียนต่ำกว่า 3 ชม.เลยค่ะ55555 เรียนบุฟเฟ่ต์มาก ยาวๆ ไปเลยบางทีก็เลิกดึกเลย แต่ถ้าใจน้องไหว บอกเลยว่ามาเรียนกับพี่เจไม่ผิดหวังแน่นอน มีแต่ได้กับได้! อิ่มท้องด้วย5555)

วิชาภาษาอังกฤษ

  • ครูวิญญู: พี่เรียนกับครูวิญญูตั้งแต่ ป.5-ม.6 เลย ครูญูเป็นครูที่ทำให้พี่รักภาษาอังกฤษมากๆ เลย ครูญูจะมีวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะหลักการจำแกรมม่า ครูญูจะพูดหลักการแกรมม่าออกมาเป็นทำนอง พูดซ้ำๆ จนคำพูดและทำนองนี้เข้าไปอยู่ใน long term memory เลยค่ะ555 เอาออกไม่ได้เลย ถ้าเจอโจทย์แกรมม่าในเรื่องไหน เสียงครูญูตอนสอนเรื่องนั้นจะดังในหัวเลย555 บางเรื่องเราจะเผลอร้องทำนองนั้นออกมาเลย ช่วยในการทำแกรมม่าได้มากเลยจริงๆ และการทำข้อสอบแกรมม่าเป็นสิ่งที่พี่ชอบที่สุดเลยค่ะ ได้ทำข้อสอบเยอะมากๆๆ เป็นปึกเลยค่ะ ครูญูจะบอกเสมอว่า Practice makes perfect เพราะงั้นพี่ได้ทำข้อสอบวนไป บางชุดเคยทำมากกว่า 2 รอบก็มีค่ะ ไม่ว่าเราจะสอบอังกฤษหรือแข่งขันสนามไหน สามารถปรึกษาครูญูได้หมดเลยค่ะ ครูญูจะช่วยแนะนำ พร้อมทั้งยังให้กำลังใจที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้เราด้วยค่ะ
  • คอร์ส Vocab ที่อยากแนะนำคือ memolody ของ enconcept ค่ะ พี่เชื่อว่าการใส่ทำนองช่วยทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น

วิชาชีววิทยา

  • ครูเพลิน พี่เรียนกับครูเพลินตั้งแต่ ม.1-ม.6 เลยค่ะ เป็นการเรียนแบบฝึกทำ shortnote และ การจดlecture ค่ะ ครูเพลินสอนเนื้อหาชีวะในส่วนที่เด็กม.ปลายควรเข้าใจ พอเราเรียนจบ เราก็จะมี สรุปวิชาชีวะของตัวเองหลายเล่มเลยค่ะ ครูเพลินจะบอกเสมอว่าวิชาชีวะอาศัยการอ่านทบทวนและคิดเชื่อมโยงต่อยอด การที่เราทำ shortnote ให้ถูกวิธีจะทำให้เราประหยัดเวลาในการอ่านหนังสือและช่วยรวบรวมความคิดเป็น concept ให้ไม่กระจัดกระจาย สามารถเข้าใจและจำไปใช้ในการสอบได้ตอนแรกๆ พี่ก็มีคำถามนะคะว่าทำไมเราต้องจดเยอะขนาดนี้ แต่พอมาถึงช่วงม.ปลายใกล้สอบ Shortnote ของครูเพลินจำเป็นมาก เพราะว่าสามารถอ่านและเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพเป็น concept ในเวลาที่จำกัด รวมไปถึงในตอนนี้ในการเรียนหมอ การจดตอนเรียนของครูเพลินนั้นถือว่าเป็น speed การจดที่พอดีมากเลยเมื่อเทียบกับตอนนี้ที่แต่ละlectureผ่านไปไว จดกันไฟแลบเลยค่ะ5555สกิลการจดจากที่เรียนครูเพลินและการทำshortnoteหลังเรียนที่ครูเพลินสอนมาแบบถูกวิธี ได้ใช้หมดเลยในการเรียนหมอทุกวันนี้ค่ะ ช่วยทำให้พี่จำเนื้อหาเป็นภาพ ทำเนื้อหาที่เยอะๆให้กระชับขึ้นและมีเวลาทำกิจกรรมต่างๆค่ะ นอกจากนั้นยังได้เรียนวิชาชีวิตจากครูเพลินซึ่งมีประโยชน์ในการใช้ชีวิตมากๆโดยเฉพาะการปรับตัวในมหาวิทยาลัยค่ะ
  • Bio beam: Course ICU เป็นอะไรที่แนะนำมากค่ะสำหรับเนื้อหาสุดintensive เนื้อหาแน่นมากและมีหลักการจำที่สามารถใช้ได้ยันเรียนหมอเลย ซึ่งสิ่งที่พี่ชอบคือ พี่ชอบการจดเองค่ะ น้าบีมจะให้เราจดไปพร้อมกัน ซึ่งเรื่องไหนสำคัญคือพูดเน้นๆไปเลย 5 หน้า 555 ใช้การวาดรูป การใช้สี และจำconceptค่ะ ได้ทำโจทย์ท้ายบทเยอะ ซึ่งแต่ละข้อมีความยากแต่สามารถใช้เนื้อหา เทคนิคที่เรียนมาตอบได้เลย จนถึงทุกวันนี้หนังสือ ICU ก็ยังได้ใช้คู่กับ lecture เลยค่ะ เพราะน้าบีมสอนลึกจริงๆ

วิชาฟิสิกส์

  • ฟิสิกส์พี่ทิว พี่ทิวสอนสนุกมากค่ะ Concept ในการสอนฟิสิกส์และยกตัวอย่างเข้าใจง่ายมาก สามารถสอนเรื่องที่ยากๆให้เข้าใจได้ง่ายๆ เลย โจทย์มีตั้งแต่เลเวลง่ายจนถึงยากมาก ถ้าฝึกทำโจทย์พี่ทิวบ่อยๆ จะสามารถนำไปปรับใช้กับข้อสอบที่สนามไหนก็ได้เลย ในการตะลุยโจทย์ก็มียกเนื้อหามาเน้นย้ำอีกรอบทำให้มีสรุปสำคัญในทุกข้อที่ทำโจทย์

5. ทั้งเรียนพิเศษ ทั้งทำกิจกรรม มีใช้แอพพลิเคชั่นอะไรเป็นตัวช่วยบ้าง

“ไม่ได้ตัวช่วยดีๆ แบบนี้ พี่อายอาจยุ่งจนลืมวันสอบเลยก็ได้

  • TCASter เพราะช่วยวางเป้าหมายให้เราเห็นชัดตลอดเลย พี่ใช้ปฏิทินที่แจ้งเตือนว่าวันไหนมีสอบอะไร ต้องสมัครวันไหนเป็นหลัก เพราะว่าชีวิต ม.6 เป็นอะไรที่ยุ่งมากๆจนบางทีเราอาจลืมบางอย่างที่สำคัญได้ เช่นการสมัครสอบ ข่าวแจ้งเตือนต่างๆ แอพนี้จะช่วยเตือนให้เราไม่พลาดด้วย พร้อมทั้งมีเกณฑ์ของคณะที่เราอยากจะเข้า ว่าต้องมีสอบอะไรบ้าง
  • Countdown ช่วยเตือนว่าเหลือเวลาอีกกี่วัน ให้เราเตรียมพร้อมก่อนถึงวันจริงได้ (เป็นการกดดันเรานิดๆ 555)

.

6. ระหว่างทางการเตรียมตัวสอบ ช่วงเวลาไหนที่ผ่านมายากที่สุด เจออุปสรรคอะไรบ้าง

“จะทำให้ได้ดีเยี่ยมทั้งเรียนและผลงาน ต้องทุ่มแรงกาย ทุ่มแรงใจ สุดความสามารถ

เป็นช่วงที่ยากที่สุด คือ..

ช่วงการเตรียมแข่งและเก็บเกรดที่โรงเรียน ในการที่เตรียมตัวยื่นพอร์ตคือช่วงที่ต้องมีการแบ่งเวลาที่ดีเพื่อที่จะสามารถทำกิจกรรมไปควบคู่กับการเรียนได้ดีทั้งสองอย่าง ในช่วงที่ต้องไปแข่งก็ต้องลาเรียนทำให้ต้องกลับมาตามงานและบทเรียนมากขึ้น ซึ่งก็เหนื่อยมากๆ เลยค่ะช่วงนั้น บวกกับการแข่งขันแต่ละอย่างต้องใช้เวลาเตรียมตัวและฝึกซ้อม การปรับปรุงจากแต่ละครั้งที่ไม่ได้รางวัลเพื่อทำครั้งต่อไปให้ดีกว่าเดิม

พี่ซ้อมอย่างหนักในแต่ละวันเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดในวันจริง ในบางครั้งที่การแข่งจัดขึ้นหลังสอบกลางภาคเลย เป็นช่วงที่ยากช่วงนึงเลยค่ะ พี่ต้องจัดเรียง priority (ลำดับความสำคัญ) โดยตั้งใจอ่านหนังสือสอบเป็นอันดับแรก เพราะเกรดสำคัญ พี่ใช้เวลาอ่านหลายรอบและทำโจทย์เพื่อที่จะได้ทำข้อสอบได้ พร้อมกับคิด content (ตัวเนื้อหา) ที่จะนำไปแข่ง พอสอบเสร็จ ก็รีบท่องจำ พยายามทำความเข้าใจ content ที่เราคิดมาเพื่อให้สามารถพูด speech ได้เป็นธรรมชาติ บางครั้งต้องท่องบนเครื่องบินเลยค่ะ เวลามีจำกัดมากจริง ๆ ค่ะ 5555

สิ่งที่เป็นอุปสรรคมากที่สุด..

น่าจะเป็นเรื่องความคิดของเรามากกว่าค่ะ มันจะมีบางช่วงที่เราเหนื่อย มีคำถามกับสิ่งที่เราทำ มีคิดว่าถ้าไม่ติดรอบ portfolio แล้วจะทำยังไงต่อ

เพราะที่ผ่านมาเราแบ่งเวลาจากการเรียนให้กับกิจกรรม การแข่งขันต่างๆ เพื่อให้สามารถยื่น portfolioได้ แต่เรามีเวลาเตรียมตัวในการอ่านหนังสือสอบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่ตั้งเป้าหมายไปที่การสอบเลย ถ้าหากไม่ติดคงจะเคว้งมากๆ แต่อุปสรรคนี้ก็ทำให้พี่มีแรงฮึดที่จะทำให้เต็มที่ที่สุดในทุกผลงานที่พี่มีโอกาสทำ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะถ้าพี่ทำเต็มที่ที่สุดแล้วก็จะไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจทีหลังแล้วค่ะ

ก็เลยทำให้ผ่านช่วงที่รู้สึกเหนื่อยและดาวน์ไปได้ เพราะงั้นพี่ว่า mindset สำคัญที่สุดค่ะว่าจะให้กำลังใจตัวเองหรือกดตัวเองลง ถ้าเราให้กำลังใจตัวเองว่าเราทำได้ เราก็จะสามารถเดินหน้าทำต่อได้จนสำเร็จค่ะ

.

7. คิดว่าส่วนสำคัญที่ทำให้เราผ่านรอบพอร์ตคืออะไร ผลงานไหนที่โดดเด่นที่สุด?

“จะนำเสนอผลงานที่เรามีในด้านไหน จะเขียนอย่างไรในพื้นที่จำกัด

คิดว่าเป็นผลงานด้านภาษาอังกฤษและการทำกิจกรรมด้านอื่นๆ ค่ะ ผลงานที่คิดว่าน่าจะโดดเด่นที่สุดคือ 1 ใน 9 เยาวชนตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วม Asia Youth Leaders 2018 ร่วมกับเยาวชนจากประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซียและเวียดนามเพื่อร่วมกันนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ “Eating habits among Asian teenagers”

ซึ่งการที่ได้เป็นตัวแทนประเทศมาจากการที่พี่ผ่านการคัดเลือกจากการแข่งขัน AEON English Speech Contest 2018 ซึ่งพี่ได้รางวัล 1st prize ค่ะ

จาก 2 รางวัลข้างต้นนี้ ทำให้พี่ได้รับรางวัลเยาวชนผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดเชียงใหม่ประจำปี 2561 และ 3 ผลงานข้างต้น พี่ได้นำไปเสนอใน portfolio ในด้านที่ต่างกัน โดยส่วนที่เป็นการเขียนบรรยายผลงานเป็นส่วนที่สำคัญมากค่ะ โดยเฉพาะฟอร์ม portfolio ของคณะแพทย์ ม.ช. ที่มีพื้นที่ในการเขียนบรรยายจำกัดมาก ต้องฝึกเขียนให้กรรมการเห็นศักยภาพของเรามากที่สุดในพื้นที่ที่จำกัด ซึ่งพี่ว่าเป็นส่วนที่ท้าทายและน่าจะมีความสำคัญในการคัดเลือกมากค่ะ

.

8. การสัมภาษณ์รอบพอร์ตเป็นอย่างไรบ้าง เล่าประสบการณ์บอกต่อน้องๆ ได้เลย

“เป็นการสัมภาษณ์แบบสุดเหวี่ยง จงเป็นตัวของตัวเอง และจัดสรรเวลาให้ดีที่สุด”

การสัมภาษณ์รอบพอร์ตแตกต่างจากรอบอื่นมากกก รอบอื่นจะเป็นการถามคำถามทั่วไป ดูบุคลิกภาพ แต่สำหรับรอบพอร์ตนั้นถือเป็นการคัดเลือกที่สำคัญมากๆๆๆ มีการคัดออกด้วย พี่ตื่นเต้นมากๆค่ะ 555

สำหรับของคณะแพทย์ ม.ช. เป็นการสอบแบบเวียนฐานหรือ MMI มีพาร์ททดสอบจิตวิทยา ความสามารถในการตัดสินใจ EQ การจัดการเวลาและเรียงความ พวกนี้เป็นการทดสอบแบบ Paper นั่งทำข้อสอบในห้องรวม ซึ่งมีเวลาการทำข้อสอบที่จำกัด คือเวลาน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนข้อสอบ

และอีกพาร์ทคือการสัมภาษณ์ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องสัมภาษณ์ภาษาไทย 1 ห้อง อังกฤษ 1 ห้อง ห้องทำข้อสอบที่เป็นแนว situation 1 ห้อง และห้องแบบสอบถามทั่วไปอีก 1 ห้อง จะวนคล้ายๆ lab กริ๊ง มีสัญญาณเตือนตอนเวลาใกล้หมดและหมดเวลา ก็ถือว่าเป็นการสัมภาษณ์ที่สนุกและตื่นเต้นดีค่ะ555 ไม่ได้นั่งรอเฉยๆ แน่นอน

กรรมการใจดี พยายามทำให้เราไม่เครียดค่ะ แนะนำว่าทำให้ดีที่สุด เป็นตัวของตัวเองที่สุดก็พอค่ะ ไม่จำเป็นต้องจำโพยอะไรมาเลย เป็นธรรมชาติที่สุดและสื่อถึงความเป็นตัวเราในทางที่ดี ทัศนคติที่ดีค่ะ พาร์ทภาษาอังกฤษก็พยายามพูดไปเลยค่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องสำเนียง ตอบให้ตรงคำถาม ตั้งสมาธิ จัดการกับmoodและทัศนคติของตัวเองให้ดี ศึกษาความรู้รอบตัวเกี่ยวกับวิชาชีพแพทย์ เป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติ หนักแน่นในคำตอบ ไม่โลเล และจัดการเวลาเป็น ต้องจำไว้ว่าวันสัมภาษณ์ทุกคำตอบต้องตอบแล้วไม่เสียใจภายหลังและต้องทำทุกอย่างให้เสร็จในเวลาค่ะ

.

9. มองอาชีพหลังเรียนจบไว้อย่างไรบ้าง

“พี่อายตั้งใจจะเป็นหมอในรพ.รัฐ เรียนต่อเฉพาะทาง เป็นอาจารย์แพทย์และแพทย์อาสาตามชนบท”

ตั้งใจจะเรียนต่อเฉพาะทางค่ะ ในช่วงเวลา 6 ปีนี้จะตั้งใจเรียน พยายามทำเกรดให้ดีๆ เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการต่อเฉพาะทางค่ะ และก็จะหาตัวเองในช่วงเวลา 6 ปีนี้ว่าสนใจและมีความถนัดในด้านไหนที่จะเรียนต่อ

ในช่วงแรกพี่ตั้งใจที่จะเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ เพราะจากการที่ได้ไปโรงพยาบาลรัฐ ได้เห็นจำนวนผู้ป่วยที่มารอพบหมอมีจำนวนมาก และนักศึกษาแพทย์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในเมื่อพี่ได้มีโอกาสเป็นหมอก็อยากทำหน้าที่ในการรักษาให้ดีที่สุดเพื่อช่วยผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐตามเป้าหมายค่ะ แล้วหาช่องทางพัฒนาต่อยอดความรู้ในสาขาที่สนใจ ไปจนถึงการเรียนต่อเฉพาะทาง และเป็นอาจารย์แพทย์เพื่อช่วยสอนนักศึกษาแพทย์รุ่นต่อๆ ไป

นอกจากนั้นในเวลาว่างพี่อยากออกไปทำในส่วนของแพทย์อาสาไปในหมู่บ้านชนบทที่ขาดแคลนการดูแลรักษาทางการแพทย์ พี่อยากกระจาย medical healthcare ให้สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ค่ะ รวมไปถึงในเวลามีภัยพิบัติต่างๆที่ต้องการกำลังแพทย์ พี่ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่เข้าไปช่วยเหลือตามกำลัง ความรู้และความสามารถค่ะ

.

10. ข้อสุดท้ายแล้วค่ะ อยากฝากอะไรถึงน้องๆ มัธยมที่กำลังอยากเข้าคณะแพทย์บ้าง?

“ใจพร้อม กายพร้อม ลุยเข้ามาโลด น้องจะเจอกับศึกที่แม้แต่พี่อาย ยังช็อค!!”

สำหรับน้องๆ ที่สนใจเข้าคณะแพทย์นะคะ สู้ๆ น้ากับการเตรียมตัวสอบเข้า มันเหนื่อยมากๆเลยพี่เข้าใจ แต่ความพยายามไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอนค่ะ ขอให้น้องมีกำลังใจที่ดีทั้งจากตัวเอง(สำคัญมากๆ)และจากคนรอบข้าง ไม่ท้อเวลาเจออุปสรรคน้า

สำหรับน้องที่อยากยื่นรอบพอร์ต ขอให้ตั้งใจทำทุกผลงานให้ออกมาดีที่สุด แพ้ครั้งนึงไม่ได้แปลว่าเราจะแพ้ตลอดไป ให้เอาข้อบกพร่องจากครั้งที่แพ้มาปรับปรุงในครั้งต่อไป แล้ววันนึงเราจะชนะจากการแข่งขันแน่นอนค่ะ ให้รับทุกโอกาสที่ได้เข้ามาหาเรา เพราะบางโอกาสไม่ใช่แค่เพียงการแข่ง 1 ครั้งแล้วจบแค่ 1 รางวัล แต่ว่าเป็นบันไดที่พาน้องไปสู่รางวัลอื่นๆ อีก เหมือนโบนัสเลย 5555 หาความถนัดของตัวเองให้เจอแล้วใช้มันเต็มที่เลย ทุกกิจกรรมมีความสำคัญของมันแต่อย่าลืมรักษาระดับการเรียนให้อยู่ในระดับที่เราตั้งไว้ด้วยนะคะ เพราะเกรดสำคัญมากๆ เลย

แบ่งเวลาให้ดีๆ แล้วน้องจะได้ทำทุกอย่างที่อยากทำและจะเป็นส่วนที่ทำให้น้องน่าสนใจในการคัดเลือกว่าน้องสามารถแบ่งเวลาได้และทำกิจกรรมรอบด้านได้อย่างดีค่ะ

สิ่งที่อยากบอกน้องก่อนตัดสินใจเข้ามาเรียนในคณะแพทย์คือ เราอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเข้าคณะแพทย์เพื่อมาเจอการอ่านหนังสือที่หนักกว่าเดิมจริงๆ ค่ะ5555 พี่ๆ หลายคนบอกพี่มาเสมอว่าคณะแพทย์เรียนหนัก ซึ่งพี่ก็รู้ว่าเรียนหนัก แต่พอมาเจอจริงๆ ก็ช้อคเหมือนกันน555

Lectureแต่ละอันผ่านไปไวมากๆ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าสไลด์ 100 กว่าหน้าสามารถเรียนจบได้ภายใน 2 ชั่วโมง และอาจารย์สามารถ quiz ได้เลยในเย็นวันนั้น Lab เป็นการเดินวนดู specimen และ self-lerning เพื่อให้เราได้ฝึกการตั้งคำถามและไปถามอาจารย์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ของพี่เลย

จากการพี่เคยเป็นแต่ passive learner รับความรู้จากที่อาจารย์สอนมาอย่างเดียวแล้วไปสอบ ต้องเปลี่ยนเป็น active learner ตั้งคำถามในทุกครั้งที่เรียนแล้วไปถามเพื่อให้ได้ความรู้เพิ่มเติม ต้องหา textbook มาอ่านเพิ่ม จากคนที่เคยอ่านหนังสืออย่างหนักแค่ก่อนสอบ ต้องเปลี่ยนเป็นอ่านหนังสืออย่างหนักในทุกเย็นเพื่อทำ shortnote เพราะเนื้อหาเยอะมากจริงๆ

ถ้าไม่ทำ shortnote เราก็จะอ่านไม่ทัน อยากให้น้องๆ ทุกคนทบทวนกับตัวเองให้ดีๆ อีกครั้งว่าเราอยากเรียนหมอจริงมั๊ย เพราะพี่ว่าpassionมันสำคัญมากเลย มันเป็นกำลังใจอย่างนึงให้เราสามารถเรียนหนักต่อไปได้อย่างไม่suffer อยากให้ถามตัวเองเสมอว่าเราพร้อมมั๊ยที่จะต้องสู้เหมือนตอนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อไปในทุกๆ วัน

ถ้าคำตอบคือพร้อม mindsetที่ดีของน้องก็จะทำให้คณะแพทย์เป็น happy land ได้เหมือนกัน เพราะน้องจะสนุกกับกิจกรรมมากๆ สังคมดีๆ ได้ประสบการณ์เยอะ และก็ได้อยู่ในคณะที่น้องๆ ฝันไว้ ช่วงเวลาปิดเทอม พักให้เต็มที่ นอนเยอะๆ อยากเที่ยวที่ไหนไปเที่ยวเลย อยากทำอะไรทำ ก่อนที่จะไม่มีเวลาให้กับตัวเองมากขนาดนั้น

ช่วงปิดเทอมก่อนเปิดมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่ดีมากๆเลย แต่ก็อย่าทิ้งความรู้ basic biology&chemistry ไปน้า เพราะยังได้ใช้อีกยาวๆ เลย รวมไปถึงภาษาอังกฤษซึ่งสำคัญมากก สไลด์ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษและมี technical term เยอะมากๆ ช่วงปิดก็พยายามอ่านหนังสือหรือดูหนังภาษาอังกฤษให้เราคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษนะคะ สู้ๆน้า พี่เป็นกำลังใจให้ ก็ขอให้น้องๆสมหวังกันทุกคนเลย แล้วเจอกันในคณะนะคะ:)

.
พี่ Buddy TCASter ขอฝากน้องๆ ไว้ดังนี้

  • พี่อายไม่ได้แข่งชนะตั้งแต่แรก แต่เคยล้ม เคยผิดหวัง แต่สิ่งเหล่านี้นี่ล่ะ ที่ผลักดันให้พี่อายแข่งชนะ
  • การแข่งขันจะสอนน้องให้รู้จักตัวเอง พาตัวเองไปแข่งทุกอย่างที่เราทำได้ แล้วเราจะรู้จักตัวเองในด้านที่ไม่รู้จักมาก่อน
  • เราอาจคิดว่าไม่ถนัด เราทำไม่ได้หรอก แต่ความจริงน้องแค่ยังไม่เคยลองพยายามแค่นั้นเอง
  • รอบ Portfolio เป็นรอบที่คุ้มมาก ที่น้องจะทุ่มเวลาและความสามารถให้ เพราะจะไม่ใด้เป็นแค่คนสอบติดเพราะทำข้อสอบเก่ง แต่น้องจะกลายเป็นคนสอบติดเพราะเป็นคนมีของ

.

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ของพี่อายในหัวข้อ “รีวิวชีวิตในรั้วคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่” ในวันศุกร์นี้ได้เลย!

ดูตัวอย่าง Portfolio ของพี่อายที่นี่

.

หากไม่รู้จะเริ่มต้นทำ Portfolio ยังไง มาเรียนกับ ดร.พี่น็อต เลยครับ พี่น็อตเคยเป็นคณะกรรมการร่วมในการคัดเลือกนักเรียนรอบช้างเผือก รอบPortfolio ของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อดัง พี่น็อตจะแนะแนวน้องให้ไปถูกทาง เพิ่มโอกาสติดรอบ 1 Portfolio ครับ

อยากเรียนกับ ดร.พี่น็อต คลิก !

Chill Chills

Chill Chills

Related post